023 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖

พวกเรานักปฏิบัติธรรม ได้รับการชี้แนะ ให้สังเกต ให้ทำความรู้ ในเรื่องของ สามัคคีธรรม ที่เป็นเรื่องที่ โลกทั้งโลก มนุษย์ทั่วโลก กำลังปรารถนา อย่างมากมาย สามัคคีธรรม จะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะว่า ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความไม่เอารัดเอาเปรียบ ยิ่งกว่านั้น ต้องเป็นคนที่ มีความสร้างสรร ในการรังสรรค์ สามารถที่จะสร้างสรร เป็นคนที่ จะทำอะไรต่ออะไร เกิดขึ้นอยู่ในโลก แล้วก็แจกจ่าย เจือจาน เผื่อแผ่ สัมพันธ์กันไป เป็นผู้ที่ ประสานมิตร สมานมิตร มีสมานัตตโต มีกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นสภาพที่ สำคัญยิ่ง เป็นพหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นหลักการใหญ่

ถ้าเผื่อว่า ไม่เกิดความจริง ไม่มีคนที่ทำได้ ไม่มีคนที่บรรลุถึงจริง สภาพเหล่านี้ เกิดไม่ได้ ก็จะเกิดอย่างซ้อนแฝง โดยปรกติสามัญ มนุษย์รู้ มนุษย์ทุกคนรู้ว่า การสามัคคี เป็นความดีงาม ไม่มีใครกล้าเถียง แต่ว่าทำกันไม่ได้ เพราะว่าสภาพจริง มันไม่มี เพราะงั้น เมื่อสภาพจริง เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ประทับใจ เป็นสิ่งที่น่าเอ็นดู ยิ่งเกิดในระหว่างโลก ที่เป็นโลก อันร้อนแรง เป็นโลกที่ระแหง แตกแยก ตัวใครตัวมัน เอาเปรียบเอารัด เห็นแก่ตัวจัดจ้าน อย่างทุกวันนี้ สภาพอย่างนี้ ยิ่งน่าซาบซึ้ง ยิ่งเป็นสิ่งที่ มีคุณค่า มีราคาแพง เพราะว่า เป็นสิ่งที่หายาก เป็นสิ่งที่เกิดได้ยาก จะทำให้เกิด ในสังคมมนุษย์ ยิ่งเป็นความเกิด ที่แท้จริงแล้ว ก็จริงใจกัน ยิ่งยากมาก

ในสังคมเล็กๆน้อยๆ ของเรา ชาวอโศกนี่ มันมีสิ่งนี้ ได้เกิดแล้ว ได้มีขึ้นแล้ว แม้น้อยอย่างนี้ คุณนึกดีๆเถอะ มันยิ่งกว่า เม็ดน้ำใส ในกลุ่มโคลนตม ที่เหม็นเน่า หาเม็ดน้ำใส สักเม็ดหนึ่ง ที่จะอยู่ในกลุ่ม โคลนตม ที่เหม็นเน่า ได้ยากนี่ ขนาดใด พวกเรานี่ ก็เหมือนอย่างนั้น ยิ่งอยู่ท่ามกลาง เมืองกรุง ท่ามกลางสัมคม คนกรุง คนเมือง ซึ่งมีสารพัดเล่ห์เหลี่ยม สารพัด ที่จะมอมเมา จูงดึงกัน ยุ่งยากมากมาย เอาเปรียบเอารัด แนะนำกัน สอนกัน มีอะไร ต่ออะไรกัน ล้วนแล้วแต่มีเชิง ที่จะเอาเปรียบเอารัด ให้แก่ตัวเอง อยู่ทั้งสิ้น แต่เขาสอนกัน เขาก็มีคำสอน เหมือนกันว่า อย่าเอาเปรียบนะ เกื้อกูลกัน เห็นแก่กันนะ ผู้สอนนั้นเอง แม้จะเป็นภิกษุ กล่าวได้ชัดๆ อย่างนี้เลย ก็สอน โดยคำสอนอย่างนี้ ซึ่งสามัญมนุษย์ มันรู้ทั้งสิ้น พูดโก้ๆ กล่าวหรูๆ มันพูดได้ทุกคน รู้ทุกคน แต่ว่าพฤติกรรมจริง หรือความเป็นจริงแล้ว ความเห็นแก่ตัวนั้น มันยังสูงกว่า พฤติกรรมข้างนอกอีก อย่างมาก คนปริมาณมากมาย จะหาหรือหาบุคคล ที่จะมีคุณธรรม มีส่วนที่ เห็นแก่ตัวน้อย มีความเกื้อกูล ผู้อื่นมาก นับจำนวน ปริมาณบุคคลแล้ว มันไม่เป็นไปได้เลย ที่จะเป็นอยู่สุข แม้เมืองไทย ที่เป็นเมือง อุดมสมบูรณ์ ไม่กระเบียดกระเสียน จนเกินการ มีคุณธรรม มีศาสนาย้อมใจ มานาน หลายพันปี เป็นศาสนา ที่วิเศษที่สุด ปานฉะนี้

ทุกวันนี้ มันก็จะแย่กันลงไปแล้ว มันกำลัง ถูกดึงถูกทึ้ง ให้ตกต่ำลงไป สู่ทิศทางที่ แตกระแหง ไม่สามัคคี เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ เอารัด ตั้งก๊กตั้งเหล่า เพื่อที่จะให้เกิด อำนาจดึงดูด แล้วจะได้ เอาเปรียบ เอารัด มาให้แก่หมู่กลุ่ม แล้วก็ตั้งก๊ก ตั้งเหล่า กันอีกซ้อนๆ กันอยู่ในที่นี้แล้ว ดูท่าทีเหมือนกับ ตัวตั้งก๊ก ตั้งเหล่า เพื่อที่จะเสียสละ แต่โดยสัจจะนั้น ตั้งก๊กตั้งเหล่า ก็จะมีอำนาจ ดึงดูดได้เปรียบ แล้วก็เอามา ให้แก่หมู่ตน มันซ้อนอยู่อย่างนี้

เพราะฉะนั้น สามัคคีธรรม หรือความที่ เป็นไปด้วยดี ของพวกหมู่เรา แม้จะมีถึงปานฉะนี้ เราจะรู้ ของตัวเราเอง ทุกคน ว่าเราพยายาม พากเพียร ศึกษา ลดละลด แม้มันจะมีกิเลส ที่เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ เอารัดอยู่นะ มาเสพความสบาย ความได้มีอะไร ที่แม้มันจะน้อย มันก็ยังมีส่วนอยู่ อะไรพวกนี้ ต่างๆนานา เราจะรู้ ของเราอยู่ว่า เรายังมี จุดที่บกพร่อง ที่เราจะละ จะล้าง อยู่จริงขนาดนี้

ถ้าดูโดยส่วนรวม ทั่วไปแล้ว ที่พวกเราเป็น เรามี เทียบเคียงกับ หมู่ใหญ่กลุ่มอื่นอะไร จะเห็นได้ เป็นขั้นตอน มันมีหมู่ ที่สร้างดี ทำดีกันอยู่ เป็นระดับๆ อยู่หลายหมู่ เปรียบเทียบได้ ยิ่งไปเปรียบเทียบ กับหมู่ ที่ชัดเจน จัดจ๋า เราจะเห็นได้เลยว่า เขาไม่แคร์ แล้วเขาก็มี ความเห็น ตรงเลยว่า เขาจะต้อง เอาเปรียบเอารัด เขาจะสร้างสามัคคี ด้วยอะไรต่ออะไร ที่มันบังคับ ขู่เข็ญกันไป เท่านั้นเอง เสร็จแล้ว ก็จะต้องมีเจ้า มีนาย มีผู้ได้เปรียบ เป็นระดับรองๆ ไล่ๆกันลงไป อย่างที่เป็นกันอยู่

เพราะงั้น พวกเราได้สิ่งหนึ่ง ขึ้นมาแล้ว เป็นสามัคคีธรรม พอประมาณ ขอให้สอดส่อง ขอให้ดูแลดีๆ เป็นของที่ มีค่าควรเมือง เป็นของที่ เป็นความยิ่งใหญ่ สำหรับ สังคมมนุษย์ ยิ่งจะยิ่งใหญ่ ยิ่งจะมีค่าสูง ตราบเท่าที่โลก มันใกล้กลียุคเข้าไป อย่างทุกวันนี้ ทุกทีๆ มันยิ่งจะเป็นอย่างนั้น เพราะงั้น เรามาเดินสวนทาง เรามาสร้างสิ่งนี้ ให้แน่นหนา ให้มีค่ายิ่ง ให้มันเป็นจริง เมื่อผู้ใด เกิดจริงที่ใจแล้ว มันก็จะ ไม่มีปัญหา อะไรมากมาย มีแต่มันจะละล้าง สิ่งที่เหลือของเรานั้น ให้ลดความเห็นแก่ตัว ลงๆๆๆ แล้วก็ สมาน สามัคคี สร้างสรร เป็นไปวันคืน สร้างสรรโน่นนี่ ทำเป็นไป อะไรต่ออะไร อยู่กันอย่างพี่ อย่างน้อง เพราะเขามี มาตรการมาก มีทฤษฎีดี ของพระพุทธเจ้า ให้มาหัดละลด ความเห็นแก่ตัว ออกไป ตั้งแต่เราเอง เสวยว่า มันเป็นสุข เป็นรสอร่อย นานาต่างๆ เราลดลงมา เราจึงจะเป็น ผู้ที่ลดความเห็นแก่ตัว ได้จริง ยิ่งเราลดได้มาก เรายิ่งจะเห็น ความจริง ในความจริงๆ แท้นี้ว่า เราสามารถ ที่จะอยู่ อย่างไม่ใช่ โมฆบุรุษ เราลด ความเห็นแก่ตัวได้แล้ว เราก็เป็น ความเห็นแก่ตัว ที่ซ้อนในอีกว่า เราลดความเห็นแก่ตัวแล้ว แล้วเรายัง จะมาเสียสละ สร้างสรร เกื้อกูล กอบก่อ ให้แก่ผู้อื่นเขาอีก ตัวเราก็เท่านั้นแหละ เรากินเราใช้ เราไม่เปลือง ไม่ผลาญ ไม่พร่าอะไร แต่เรายังมีคุณค่า มีประโยชน์ สร้างสรร มีเนื้อหา แก่นสาร มีอะไรดีๆ ให้แก่มนุษยโลก ที่เขาเห็นแก่ตัว กันเหลือเกิน แล้วเขาผลาญพร่า ทำลายกักตุน เสียหาย ช่างมันนะ มันเป็นอยู่อย่างนี้

ถ้าเราไม่มีบุคคลอย่างนี้ แล้วก็ยืนหยัดยืนยัน ประกาศให้ก้องโลกไป จะเห็นจริงเห็นจังว่า ชีวิตมนุษย์เรา ก็เท่านั้น เกิดมา ก็เดินทางไปสู่ หลุมฝังศพ ถ้าเราไม่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้แล้ว เขาจะตะโกน โหวกเหวกๆ พูดกัน ยังไงๆ ก็เชื่อก็ถือ ก็เห็น ก็เข้าใจ ก็สามัคคีธรรม เป็นสิ่งดี เป็นผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัว เสียสละ เกื้อกูลผู้อื่น เป็นสิ่งดี รู้แสนรู้ แต่ก็เป็นเพียง ความรู้ ที่มันเหมือนกับ สิ่งปาฏิหาริย์ มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งขึ้น ทุกวัน ทุกวัน

ขอให้พวกเรา เมื่อมันได้แล้ว ก็ขอให้ทำ ให้เห็นจริง ให้ทวีความจริง อันนี้ยิ่งๆขึ้น สอดส่อง คุณจะซาบซึ้ง ความซาบซึ้ง ความมีฉันทะ ความเห็นจริงพวกนี้ มันเป็นสิ่งที่ ทำให้เราเองนี่ รู้ว่า ความจริง มันมีอยู่ แม้น้อย เราก็ทวีขึ้น มันก็จะเป็นตัวจริง ขึ้นมาก มากมาก แล้วมันจะไปไหนเสียนะ พูดกับคนที่โง่ๆ เขาก็รู้ แม้เขาก็ต้องการ แต่เขาทำไม่ได้ แล้วเราเองเรารู้ รู้แล้วเราทำได้ด้วย ทำไมเราไม่รักษา เราไม่ทำให้มันดี ยิ่งขึ้น ชีวิตคุณ จะเอาอะไร คุณจะสร้างอะไร คุณจะอยู่เพื่ออะไร ถ้าจะเพื่อเสพรสโลกๆ โลกีย์ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ที่นี้ก็ไม่มีปัญหา ก็ไปได้ เพราะอยู่อย่าง เสพรสโลกีย์ ที่อื่นเขามีกัน มากมาย เขาก็เป็นอยู่กัน อย่างนั้น ส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ

ขอให้พวกเราได้ซาบซึ้ง และได้รังสรรค์ สิ่งที่ดีงาม แม้จะได้ ก็ยังไม่มากไม่โต ยังไม่ยิ่ง ไม่ใหญ่ ก็ตาม ช่วยกันบูรณะ ช่วยกันรังสรรค์ ช่วยกันปกป้อง แล้วก็กอบก่อกัน มันไม่ใช่ความจริงหรือ? ที่กำลังพูดนี่ ถ้ามันเป็น ความจริงแล้ว เราพากเพียรเถอะ แต่ละคนนั้นแหละ ของตนเอง ของตนเอง แล้วก็เกื้อกูล กันบ้าง สิ่งที่เราคิดว่า มันควรจะดีนี้ มันก็จะดีต่อๆไป ก็เป็นจุดชี้แนะ ที่พยายามชี้แนะ หนักขึ้น ให้เห็นขึ้น ว่าเราเอง ก็มีทั้งความสงบระงับ มีทั้งความสุขเย็น แล้วก็มีทั้ง การออกเรี่ยว ออกแรง มีทั้งการสร้างสรร จะเห็นได้ว่า ความเหนื่อย ถ้าเป็นแต่ก่อน เราเหนื่อยนานแล้ว เราอู้นานแล้ว เราหนีนานแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ เรารู้สึกว่า เอ๊อ! เราเป็นคนดีขึ้น ไม่อู้ ไม่เหนื่อยเร็ว เหนื่อยแรง มันมีกิเลส มาวอบแวบ เราก็พยายาม ปัดเป่า มันมีวิธีการ มันสามารถทำได้ คุณจะเข้าใจ คุณจะเห็นจริงนะ สิ่งเหล่านี้แหละ เป็นสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา หรือ เรียกว่า ธรรมะ ที่อยู่ในลัทธิ มรรคองค์ ๘ ลัทธิของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สาธุ.

ธรรมปัจเวกขณ์ ๒๕๒๖